11/22/2008

ไปเที่ยวกันดีกว่า

ขอนอกเรื่องซักหน่อยนะ เพราะกลัวจะเบื่อกัน ก่อนออกเดินทางไปเที่ยวลองมารู้จักเมืองจีนกันก่อนดีกว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่าจีนนั้นแบ่งเขตการปกครองส่วนกลางออกเป็น 23 มณฑล (รวมไต้หวัน), 5 เขตปกครองตนเอง, 4 มหานครใหญ่ที่ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง และ 2 เขตบริหารพิเศษ หากไม่ดูเป็นการรบกวนสมองเกินไป ก็มาดูว่ามีอะไรกันบ้าง

•23 มณฑลได้แก่ 黑龙江(hēilóngjiāng)เฮยหลงเจียง, 吉林(jílín)จี๋หลิน, 辽宁(liáoníng)เหลียวหนิง, 河北(héběi)เหอเป่ย ,山西(shānxī)ซานซี ,山东(shāndōng)ซานตง ,江苏(jiāngsū) เจียงซู , 安徽 (ānhuī) อันฮุย , 浙江 (zhèjiāng) เจ้อเจียง , 江西 (jiāngxī) เจียงซี , 福建 (fújiàn) ฝูเจี้ยน หรือ ฮกเกี้ยน , 台湾 (táiwān)ไถวัน หรือ ไต้หวัน , 河南(hénán) เหอหนัน , 湖北 (húběi) หูเป่ย , 湖南(húnán) หูหนัน , 贵州 (guìzhōu) กุ้ยโจว , 广东 (guǎngdōng) กว่างตง หรือ กวางตุ้ง , 海南 (hǎinán) ไห่หนัน , 甘肃 (gānsù) กานซู่ , 陕西 (shǎnxī) ส่านซี , 四川 (sìchuān) ซื่อชวน หรือ เสฉวน , 青海 (qīnghǎi) ชิงไห่ , 云南 (yúnnán) หยุนหนัน หรือ ยูนนาน

•5 เขตปกครองตนเอง ได้แก่ 内蒙古(nèiměnggǔ) เน่ยเหมิงกู่ หรือ มองโกเลียใน, 宁夏(níngxià) หนิงเซี่ย , 新疆 (xīnjiāng) ซินเจียง , 西藏(xīzàng) ซีจ้าง หรือ ทิเบต , 广西(guǎngxī) กว่างซี หรือ กวางสี •4 มหานคร ได้แก่ 北京(běijīng)เป่ยจิง หรือ ปักกิ่ง , 上海(shànghǎi) ซ่างไห่ หรือ เซี่ยงไฮ้ , 天津(tiānjīn) เทียนจิน หรือ เทียนสิน , 重庆(chóngqìng) ฉงชิ่ง


•2 เขตบริหารพิเศษ ได้แก่ 香港(xiānggǎng) เซียงกั่ง หรือ ฮ่องกง , 澳门(àomén) เอ้าเหมิน หรือ มาเก๊า


เห็นอย่างนี้แล้วก็คงไม่ต้องบอกว่าเมืองจีนนั้นกว้างใหญ่แค่ไหน เลยเลือกไม่ถูกเลยว่าจะไปไหนก่อนดี แต่ไม่ว่าไปที่ไหนถ้าจะให้เพิ่มความสนุกยิ่งขึ้น ก็ต้องพูด ภาษาจีนกลาง ให้ได้ก่อน แล้วมันจะมีความหมายมากขึ้นสำหรับการเดินทาง...จริงๆ นะ


ครั้งแรกเลยที่ได้สัมผัสแผ่นดินจีน (ไม่รวมฮ่องกง กับ มาเก๊า) ก็ไปที่ปักกิ่งอ่ะ ตอนนั้นพูด ภาษาจีนกลาง ไม่ได้เลย จะไปไหนทำอะไรก็ต้องอาศัยไกด์ หรือไม่ก็ภาษาที่ทุกคนรู้จักกันดี...ก็ภาษาใบ้ไงล่ะ ตอนนั้นก็คิดนะว่าทำไมไม่ยอมเรียน ภาษาจีนกลาง ก็เลยคิดว่าพอกลับมาเมืองไทยแล้วจะไปสมัครเรียน


กลับมาก็ไปถามคอร์สเรียนอะไรเสร็จสรรพแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงเรียน เพราะเห็นตัวหนังสือแล้วก็คิดว่าเราคงเรียนไม่ได้หรอก กลัวไปไม่รอด แค่มองก็รู้ว่ายาก เลยไม่ได้ลงเรียน ตอนนั้นเพิ่งจบ ม. 6 ด้วยก็เลยยังไม่ได้คิดอะไรมาก กว่าจะได้เริ่มเรียน ภาษาจีนกลาง เป็นครั้งแรก ก็อีกสี่ปีให้หลัง คือตอนที่จบมหาลัยแล้ว


ในห้องเรียนนี่เราอายุเยอะสุดเลยหรือนี่ ทำไมเราเพิ่งคิดได้นะ แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่มีใครแก่เกินเรียน เรียนไปได้ประมาณปีนึงก็เริ่มเบื่อ เพราะเรียนแค่อาทิตย์ละครั้งเอง มันช่างช้าเหลือเกิน เลยให้ป๊าส่งไปเรียนที่กวางเจา (อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง) ที่นี่ก็ดีนะหน้าหนาวอากาศไม่หนาวมาก แต่เสียตรงที่ว่าหน้าฝนนี่สิฝนตกหนักมากๆ และหน้าร้อนก็ร้อนซะ กลับมาตัวดำปี๊เลย อาหารการกินก็ดี หรือว่าเราเป็นคนกินง่าย(ตะกระ)ก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องระวังหน่อยเพราะอาหารมีแต่มันๆ ตอนกลับน้ำหนักนี่เพิ่มขึ้นไปหกโล กว่าจะลดได้ก็นานเลย ยังไงก็ระวังเรื่องอาหารการกินไว้บ้างก็ดี


ที่เลือกเรียนที่กวางเจาก็เพราะถูกกว่าที่ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้อ่ะ แถมยังใกล้เซินเจิ้น กับฮ่องกงอีกด้วย จะได้หนีเที่ยวสะดวก...เฮ้ยไม่ช่ายอย่างนั้น จากกวางเจานั่งรถไฟไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงเซินเจิ้นแล้ว การเดินทางสะดวกสบาย แต่ใครที่คิดจะไปเรียนที่นี่ก็ต้องระวังเรื่องขโมยหน่อยนะ เพราะกวางเจาเป็นเมืองใหญ่มีคนเข้ามาหางานทำเยอะ พวกหางานไม่ได้หรือไม่มีอะไรทำก็ลักเล็กขโมยน้อยแหละ เพราะเพื่อนก็เคยโดนเหมือนกัน


หลังจากเรียนที่กวางเจาได้เทอมนึงก็กลับมา รู้สึกว่า ภาษาจีน ไม่ค่อยกระเตื้องขึ้นยังไงบอกไม่ถูก หรือเราแค่คิดไปเอง อุตส่าห์เลือกเมืองที่มีคนไทยน้อยแล้วแต่ไปก็กลับเจอเป็นสิบ แล้วยังชอบใช้นิสัยคนไทยที่พอรวมกลุ่มกันทีไรก็ใช้ภาษาแม่ทุกที แบบประมาณว่ากลัวลืมภาษาบ้านเกิด สุดท้ายก็คิดว่าไม่ได้อะไรจนเลิกเรียนไป แต่ก็ยังมีโอกาสได้ไปเมืองจีนอยู่อีกหลายครั้ง


ตามมาเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าได้ไปที่ไหนมาบ้าง ก็หลังจากกลับมาประมาณกลางปี พอปลายปีก็ได้ไปเมืองต้าลี่ กับลี่เจียง (มณฑลหยุนหนัน) เป็นเมืองที่สวยมาก โดยเฉพาะลี่เจียง เป็นเมืองโบราณที่ดูยังรักษาขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมไว้เป็นอย่างดี เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของคนสมัยก่อนเลย คิดแล้วยังอยากไปอีกสักครั้งเลย


ต่อจากนั้นก็ได้กลับไปกวางเจาอีกครั้ง คราวนี้ไปงานแฟร์อ่ะ คนเยอะมากๆ มาจากทั่วทุกสารทิศเลย ใครจะไปงานนี้ก็ต้องเตรียมทำนามบัตรเอาไว้นะ จะได้ไปแลกแคตาล็อกต่างๆ เอาเก็บไว้เป็นข้อมูลเพื่อจะได้เป็นแนวทางในการทำธุรกิจว่าเราสนใจอะไร ตอนที่ไปก็ไม่คิดว่าจะทำอะไร ลองไปดูเห็นเค้าบอกกันว่าเป็นงานใหญ่ระดับโลก พอไปก็ใหญ่จริงๆ เดินจนขาลากเลย แต่เราก็ไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่เก็บแคตาล็อกกลับมา ใครจะไปก็เตรียมกระเป๋าไปใสแคตาล็อกแล้วลากก็ได้นะ เพราะเยอะแล้วก็หนักมากๆ


หลังจากงานแฟร์ รุ่งขึ้นก็แวะที่เซินเจิ้นกับฮ่องกงด้วย สำหรับคนที่ชอบช็อปปิ้งก็เหมาะมากๆ แต่อย่าลืมพกเงินติดกระเป๋าไปเยอะๆ นะ เดี๋ยวจะช็อปไม่พอ


กลับจากทริปนี้แล้ว กลางปีก็ไปเที่ยวที่เฉินตู (มณฑลเสฉวน) กับทิเบต ที่เฉินตูหากใครได้ไปก็ต้องไม่พลาดการแสดงเปลี่ยนหน้ากากที่เลื่องชื่อ เค้าเปลี่ยนได้เร็วแบบจับผิดไม่ได้เลยอะ หรือใครจับได้ก็ช่วยบอกทีนะว่าเค้าทำกันยังไง จากเฉินตูต้องนั่งเครื่องไปลงที่ทิเบต เพราะจากไทยไปไม่มีบินตรงไปถึงทิเบต


ก่อนการเดินทางไกด์จะให้ทุกคนกินยา เรียกว่า หงจิ่งเย่า อะไปประมาณนี้ แหล่ะไม่รู้จำผิดป่าว เป็นยาที่ช่วยปรับระดับหรือความดันก่อนที่จะเดินทางไปที่ทิเบตอะ แต่ดันลืมให้เรากับแม่กิน พอไปถึงก็ยังดีๆอยู่นะ แต่พอผ่านไปสักระยะก็เริ่มไม่ไหวแล้ว ทรมานสุดๆ เค้าเรียกกันว่าโรคที่ราบสูงอะ อาการก็คลื่นไส้ อาเจียน แบบจะเป็นจะตายเลย จนแบบว่าเรามาทำอะไรที่นี่ อยู่บ้านดีกว่ามั้ยอ่ะ ทิเบตอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ก็เลยเกิดอาการแบบนี้จนบางครั้งต้องใช้ถังออกซิเจนช่วย เพราะอากาศเบาบางมากเลย ออกซิเจนน้อย ที่นั่นเค้าจะมีขายถังออกซิเจน หรือไม่ก็หมอนที่บรรจุออกซิเจน พอได้ออกซิเจนช่วยอาการก็ดีขึ้น วันต่อมาก็เที่ยวได้ตามปกติแล้ว ยังดีนะนี่ที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ ไม่งั้นก็เท่ากับว่าเสียเงินไปแต่กลับไม่ได้เที่ยว


เรื่องเที่ยวยังไม่หมดแค่นี้ เพราะหลังจากที่เลิกเรียน ภาษาจีนกลาง ไปแล้วสามปี ก็มีโอกาสได้กลับไปเรียนที่จีนอีกครั้ง ป๊าก็แสนดี ลูกอยากไปเรียนที่ไหนก็ตามใจ เราก็เลยจัดการหาที่เรียนเอง คราวนี้ก็ไปเองติดต่ออะไรเองหมด ก็ดูอยู่นานเหมือนกันว่าจะไปเมืองไหนดี สุดท้ายก็เลือกที่หางโจว (มณฑลเจ้อเจียง) เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงาม และค่าครองชีพก็ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับเซี่ยงไฮ้


ทีแรกก็คิดจะไปเซี่ยงไฮ้เหมือนกันนะ เพราะสนใจด้านธุรกิจ และเซี่ยงไฮ้ก็เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเศรษกิจดี แต่คิดไปคิดมาเราไปเรียนภาษา เรียนที่ไหนก็เหมือนกันและก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เลือกเรียนที่ถูกแล้วเก็บเงินไว้เที่ยวดีกว่า หางโจวเป็นเมืองที่น่าอยู่ อากาศดี แล้วมลพิษก็น้อยกว่าเซี่ยงไฮ้ด้วย คนก็ดูมีน้ำใจมากกว่าหลายๆ เมืองที่เคยสัมผัสมา


แม้จะเลือกเรียนที่หางโจว แต่ก็แอบไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้อยู่เหมือนกัน เพราะนั่งรถไฟไปแค่ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว คิดแล้วก็นึกถึงเมืองไทยนะว่าเมื่อไหร่ การคมนาคมของบ้านเราจะสะดวกเหมือนเมืองจีนบ้าง ไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องเปลืองเวลา


ต่อจากเซี่ยงไฮ้ ก็ไปกันที่อี้อูดีกว่า ไปดูว่าเมืองนี้เค้ามีอะไร เป็นอีกเมืองที่เหล่าบรรดาพ่อค้า แม่ค้าในเมืองไทยนำสินค้าจากเมืองนี้มาขาย ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายของกิ๊ปช็อปอยู่บนตึกใหญ่ ภายในตึกก็จะมีป้ายภาษาไทยประกาศเกี่ยวกับบริษัทที่รับขนส่งสินค้าไปเมืองไทย ใครมีโอกาสได้แวะไปก็ต้องไปกันแต่เช้า หรือไม่ก็ไปค้างคืนแล้วเดินต่อกันวันรุ่งขึ้นก็ได้ เพราะตึกนี้ห้าโมงเย็นเค้าก็ปิดกันแล้ว พอแค่นี้ก่อนนะ ถ้านึกอะไรออก หรือมีที่เที่ยวที่ใหม่ๆ จะเอามาฝาก

No comments:

Post a Comment